https://share.google/1AyvRAfBP0O603875
---------------------------------------------------------
เชื้อรา เท้า คืออะไร?
เชื้อรา เท้า หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า Tinea Pedis เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อรากลุ่ม Dermatophytes โดยเชื้อเหล่านี้มักเจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่อับชื้น เช่น รองเท้าที่ไม่แห้งสนิท ถุงเท้าที่ใส่ซ้ำ หรือพื้นที่สาธารณะอย่างห้องอาบน้ำรวม ฟิตเนส และสระว่ายน้ำ
โรคนี้ถือว่าพบได้บ่อยในประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนที่อากาศชื้นและหลายคนต้องเดินลุยน้ำจนทำให้เท้าเปียกตลอดเวลา อาการอาจเริ่มจากเพียง คัน ผิวลอกเล็กน้อย แต่หากปล่อยไว้นานโดยไม่ดูแลก็สามารถลุกลามจนกลายเป็นการติดเชื้อเรื้อรังได้
สาเหตุของ เชื้อรา เท้า เกิดจากอะไรบ้าง?
การติดเชื้อรา เท้า ไม่ได้เกิดจากปัจจัยเดียว แต่เป็นผลมาจากหลายสาเหตุที่เอื้อให้เชื้อราสามารถเจริญเติบโตและแพร่กระจายได้ง่าย หากเข้าใจสาเหตุเหล่านี้ก็จะช่วยให้สามารถป้องกันและลดความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น
- เกิดจากความอับชื้น
เชื้อราชื่นชอบสภาพแวดล้อมที่อับและชื้น เช่น ภายในรองเท้าหุ้มส้นที่ใส่นาน ๆ หรือรองเท้าที่เปียกฝนแล้วไม่ได้ตากแดดให้แห้งสนิท ความชื้นที่สะสมทำให้เชื้อราเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นอาการผื่นคันและผิวหนังลอก
- เกิดจากการสัมผัสโดยตรง
เช่น พื้นที่สาธารณะอย่างห้องน้ำรวม ฟิตเนส หรือสระว่ายน้ำ เป็นจุดที่เชื้อรามักสะสมอยู่ หากเดินเท้าเปล่าโดยไม่มีการป้องกัน อาการเกิดเชื้อราก็จะสามารถเข้าสู่ผิวหนังได้ทันที โดยเฉพาะในคนที่มีแผลเล็ก ๆ บริเวณเท้า
- เกิดจากการรักษาสุขอนามัยไม่ดีพอ
หลายคนที่ชอบล้างเท้าไม่สะอาดหรือไม่เช็ดเท้าให้แห้งหลังอาบน้ำ ความชื้นเล็กน้อยที่ค้างอยู่ตามซอกนิ้วก็เพียงพอที่จะเป็นแหล่งสะสมของเชื้อราได้
- เกิดจากการใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น
รองเท้าหรือถุงเท้าที่ใช้ร่วมกัน รวมไปถึงผ้าเช็ดตัว อาจเป็นพาหะนำเชื้อราโดยไม่รู้ตัว เพราะเชื้อสามารถอยู่รอดได้นานในสิ่งของเหล่านี้
- เกิดจากอาการภูมิตก หรือ ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
โดยสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือผู้สูงอายุ มักมีภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอกว่าปกติ จึงติดเชื้อได้ง่าย และอาการมักรุนแรงกว่าคนทั่วไป
ใครบ้างที่เสี่ยงเกิด เชื้อรา เท้า ได้ง่าย ๆ
นักกีฬา โดยเฉพาะกีฬาที่ต้องใส่รองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าหุ้มตลอดเวลา เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล หรือวิ่ง เนื่องจากเท้ามักอับชื้นและมีเหงื่อสะสม เชื้อราจึงเจริญเติบโตได้ง่าย จนโรคนี้ถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Athlete’s Foot
ผู้ทำงานที่ต้องสวมรองเท้าหุ้มตลอดเวลา เช่น ทหาร ตำรวจ พนักงานโรงงาน หรือพนักงานที่ต้องใส่รองเท้านิรภัย (Safety Shoes) ตลอดทั้งวัน เมื่อเท้าไม่ได้สัมผัสอากาศเลย จะกลายเป็นแหล่งสะสมเชื้อราที่ดี
คนที่เท้าเปียกชื้นบ่อย ในฤดูฝนหรือตามพื้นที่ที่มักมีน้ำท่วมขัง คนที่ต้องเดินลุยน้ำหรือใส่รองเท้าเปียกตลอดเวลา จะมีความเสี่ยงเป็นราที่เท้าได้สูงมาก
ผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เนื่องจากภูมิคุ้มกันอ่อนแอกว่าคนทั่วไป ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย และหากเป็นแล้วมักหายช้ากว่า
คนที่เหงื่อออกมาก โดยเฉพาะผู้ที่มีเหงื่อออกที่ฝ่าเท้ามากผิดปกติ (Hyperhidrosis) เมื่อเท้ามีเหงื่อสะสมตลอดวัน หากไม่ทำความสะอาดและเปลี่ยนถุงเท้าเป็นประจำ จะมีโอกาสสูงที่จะทำให้เท้าเกิดเชื้อรา
5 อาการของ เชื้อราบริเวณเท้า ที่ควรสังเกต พร้อมดูแลรักษาเบื้องต้น
1. คันบริเวณซอกนิ้วเท้า ที่เกิดจาก เชื้อรา เท้า
อาการคันที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดของ เชื้อรา เท้า มักเริ่มต้นที่ซอกนิ้ว โดยเฉพาะระหว่างนิ้วก้อยและนิ้วนาง เพราะเป็นจุดที่อับชื้น ระบายอากาศได้น้อย หากปล่อยไว้อาจลุกลามจนผิวหนังแตกหรือมีน้ำเหลืองซึมออกมาได้ หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าเป็นเพียงการระคายเคืองธรรมดา แต่แท้จริงแล้วนี่คือสัญญาณแรกของอาการติดเชื้อรา
การดูแลเชื้อราบริเวณเท้าเบื้องต้น
- เช็ดเท้าให้แห้งทุกครั้งหลังอาบน้ำหรือเดินลุยน้ำ โดยใช้ผ้าสะอาดซับตามซอกนิ้วอย่างระมัดระวัง
- เลือกทาแป้งดูดซับความชื้นหรือยาทารักษาเชื้อราที่มีตัวยา Clotrimazole, Miconazole หรือ Econazole
- หลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าหุ้มส้นนาน ๆ เพื่อให้เท้าได้ระบายอากาศ
2. ผิวหนังลอกหรือแตก
อีกหนึ่งอาการที่พบได้บ่อยคือ ผิวหนังลอกเป็นขุย โดยเฉพาะบริเวณฝ่าเท้าและส้นเท้า บางรายผิวแตกจนเจ็บหรือแสบ ซึ่งอาจทำให้เดินลำบากและเสี่ยงติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติม การปล่อยทิ้งไว้นานอาจทำให้เชื้อราแทรกซึมลึกลงในผิวหนังและรักษายากขึ้น
การดูแลเบื้องต้น
- หลีกเลี่ยงการแกะ เกา หรือขัดถูแรง ๆ เพราะจะทำให้เกิดบาดแผลและติดเชื้อได้ง่าย
- ใช้ครีมยาทาเชื้อราที่มีตัวยา Terbinafine หรือ Ketoconazole ทาบริเวณที่ลอก
- รักษาความชุ่มชื้นของผิวด้วยโลชั่นสูตรอ่อนโยนที่ไม่ก่อให้เกิดการอับชื้น
3. มีกลิ่นเท้าแรงผิดปกติ
กลิ่นเท้าแรงไม่ได้เกิดจากเหงื่อเพียงอย่างเดียว แต่บ่อยครั้งเกิดจากการสะสมของเชื้อราและแบคทีเรียที่เติบโตในสภาพอับชื้น หากกลิ่นแรงจนผิดปกติ ควรระวังว่าอาจเป็นอาการของเชื้อราเท้า ซึ่งหากปล่อยไว้จะทำให้เสียความมั่นใจในการเข้าสังคม
การดูแลเชื้อราเท้าเบื้องต้น
- ซักและเปลี่ยนถุงเท้าทุกวัน โดยเลือกผ้าที่ระบายอากาศได้ดี เช่น ผ้าฝ้าย
- แช่เท้าในน้ำเกลืออุ่นหรือน้ำผสมเบกกิงโซดา 10–15 นาที เพื่อช่วยลดเชื้อราและกลิ่น
- ทำความสะอาดรองเท้าเป็นประจำ และนำไปผึ่งแดดเพื่อลดการสะสมของเชื้อรา
4. มีตุ่มน้ำใสหรือหนองเล็ก ๆ
เชื้อราบางชนิดอาจก่อให้เกิดตุ่มน้ำใสเล็ก ๆ บริเวณฝ่าเท้าและซอกนิ้ว รู้สึกคันหรือเจ็บ หากเกาแรง ๆ อาจแตกเป็นแผลและติดเชื้อแบคทีเรียร่วม ทำให้กลายเป็นตุ่มหนองได้ การเจาะตุ่มเองไม่เพียงไม่ช่วยให้อาการดีขึ้น แต่ยังเสี่ยงทำให้เชื้อแพร่กระจายมากขึ้นอีกด้วย
การดูแลเบื้องต้น
- ห้ามเจาะหรือบีบตุ่มน้ำเอง เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ
- ใช้ยาทาฆ่าเชื้อราที่มีประสิทธิภาพ เช่น Terbinafine หรือ Ciclopirox
- หากตุ่มมีอาการอักเสบ บวมแดง หรือมีหนอง ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับยาที่เหมาะสม
5. เชื้อราที่เล็บเท้า
เมื่อเชื้อราลุกลามไปถึงเล็บ จะทำให้เล็บหนา แข็ง สีเหลืองหรือสีน้ำตาล เล็บแตกหรือหลุดลอกง่าย อาการนี้เรียกว่า เชื้อราที่เล็บ (Onychomycosis) ซึ่งรักษายากกว่าที่ผิวหนังทั่วไป และมักใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะหาย
การดูแลเชื้อราบริเวณเล็บเท้าเบื้องต้น
- ใช้ยาทาเล็บฆ่าเชื้อราโดยเฉพาะ (antifungal nail lacquer) ที่มีตัวยา Amorolfine หรือ Ciclopirox
- รักษาความสะอาดเล็บ ตัดเล็บสั้น และไม่ใช้กรรไกรตัดเล็บร่วมกับผู้อื่น
- หากเล็บติดเชื้อรุนแรง ควรพบแพทย์เพื่อรับยาฆ่าเชื้อราชนิดรับประทาน ซึ่งต้องกินต่อเนื่องเป็นเดือน
วิธีเลือกใช้ยาในการรักษา หรือบรรเทาอาการ เชื้อรา เท้า อย่างถูกต้อง
การรักษาเชื้อรา เท้า สามารถทำได้ทั้งแบบ ใช้ยาทาเฉพาะที่ และยารับประทาน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ โดยควรเลือกใช้ยาอย่างเหมาะสมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด
ซึ่งยาประเภทนี้ ก็จะมีทั้งแบบในกลุ่มของตัวยาสามัญประจำบ้านที่หาซื้อได้ง่าย กับตัวยาที่ออกฤทธิ์แรง เสี่ยงมีผลข้างเคียงต่อตับ ไต ที่อาจจะต้องใช้ตามใบสั่งและการดูแลของแพทย์เท่านั้น
1. ยาทารักษาเชื้อรา เท้า (Topical Antifungal)
เหมาะกับผู้ที่เพิ่งเริ่มมีอาการหรือเชื้อรายังไม่ลุกลามมาก ใช้สะดวกและปลอดภัย
ตัวยาที่นิยมใช้: Clotrimazole, Miconazole, Terbinafine, Ketoconazole, Ciclopirox
วิธีใช้
ล้างเท้าและเช็ดให้แห้งก่อนทายา
ทาบริเวณที่เป็นเชื้อราและรอบ ๆ วันละ 2 ครั้ง หรือใช้ตามคำแนะนำในฉลาก
ควรใช้ต่อเนื่องอย่างน้อย 2–4 สัปดาห์ แม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
ข้อควรระวัง: หลีกเลี่ยงการหยุดยาเองเมื่ออาการทุเลา เพราะเชื้อราอาจยังคงอยู่ใต้ผิวหนัง
2. ยารับประทาน (Oral Antifungal)
ใช้ในกรณีที่เชื้อราลุกลามมาก เป็นเรื้อรัง หรือกระจายไปถึงเล็บ ซึ่งยาทาเพียงอย่างเดียวอาจเอาไม่อยู่
ตัวยาที่ใช้บ่อย
Terbinafine : มักใช้รักษาเชื้อราที่เล็บและผิวหนัง ใช้เวลารักษา 6–12 สัปดาห์
Itraconazole : มีฤทธิ์ครอบคลุมเชื้อได้กว้าง เหมาะกับกรณีติดเชื้อหลายตำแหน่ง
Fluconazole : ใช้ได้กับผู้ที่ไม่สามารถทนต่อยาอื่นได้
ข้อควรระวัง
ยากลุ่มนี้อาจมีผลข้างเคียงต่อตับและไต จึงควรใช้ตามแพทย์สั่งเท่านั้น
ห้ามซื้อยามารับประทานเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเกิดอันตรายหรือดื้อยาได้
พฤติกรรมแบบไหนที่ไม่ควรทำ เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดเชื้อราบริเวณเท้า
- ไม่ใส่รองเท้าเปียกหรือยังไม่แห้งสนิท
- ไม่ใส่ถุงเท้าซ้ำ ควรซักและตากแดด
- หลีกเลี่ยงการใช้รองเท้า/ผ้าเช็ดตัวร่วมกับผู้อื่น
- ไม่เดินเท้าเปล่าในห้องน้ำสาธารณะ
- ไม่ละเลยอาการคันหรือผิวลอกเล็ก ๆ เพราะอาจลุกลามได้